Skip article metadata to content Skip navigation

ประสบการณ์บินไปญี่ปุ่น ไปดูคอนเสิร์ตอย่างเดียว

บินไป ดูเสร็จ แล้วบินกลับเลยจ้า พูดจริงไม่ได้ล้อเล่น

Cover image: In Front of Nakano Sun Plaza

เรื่องมีอยู่ว่า ⁠… ประมาณช่วงครึ่งปีแรกของ 2018 มีข่าวของ Yuki Kajiura ( ⁠梶浦由記 ⁠) นักประพันธ์เพลงประกอบอนิเมะญี่ปุ่นมากมาย เช่น Sword Art Online, Puella Magi Madoka Magica, Fate/Zero, Fate/stay night: Heaven’s Feel, Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba เป็นต้น ประกาศตัดความสัมพันธ์กับเอเจนซี่ที่ตัวเองร่วมงานกันมานาน  เกิดคำถามในหัวผมขึ้นว่าแล้วอนาคตของ Yuki Kajiura ในวงการอนิเมะจะเป็นอย่างไรต่อไป และถ้าไมมีเอเจนซี่แล้วจะมีโอกาสจัดคอนเสิร์ตในอนาคตอย่างที่เคยทำได้หรือไม่

บีบมือตัวเอง

“ชีวิตนี้ยังไม่เคยได้มีบุญไปงานคอนเสิร์ตของทั่นศาสดาเลย” ใช่ ผมนับถือ Yuki Kajiura เสมือนเป็นพระแม่องค์หนึ่งที่ค่อยมาโปรดด้วยบทเพลงที่มาชำระล้างความมัวหมองในชีวิตออกไป นี่ไม่ได้เว่อร์ ด้วยความกลัวว่าชีวิตนนี้จะไม่มีโอกาสอีกเลย เลยลองค้นหาดูในเน็ต พบว่าในปี 2018 นั้นยังคงจัดคอนเสิร์ตในช่วงกลางปี และไม่มีทีท่าจะโดนยกเลิกเสียด้วย

เอาล่ะ !  ไปก็ไป ⁠…

เอ่อ แล้วจะซื้อตั๋วคอนเสิร์ตยังไงวะ?

โชคยังดีที่ผมมีเพื่อนคนไทยที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น ( ⁠และเคยไปคอนเสิร์ตในญี่ปุ่นมาแล้วหลายงาน ⁠) คอยช่วยเหลือ  สุดท้ายจึงได้ฝากเพื่อน “ประมูล” ตั๋วมือสองจากเว็บไซต์หนึ่งได้สำเร็จ ตอนแรกก็รู้สึกกังวลว่าตั๋วผีแบบนี้จะโดนโกงไหม แต่สุดท้ายความรู้สึกอยากไปดูคอนเสิร์ตก็ชนะความกังวลทุกสิ่งอย่าง และเนื่องจากผมอยากให้น้องสาวไปติ่งร่วมกัน จึงจัดจองตั๋วมาได้ 2 ใบด้วยกัน ( ⁠จริง ๆ คือลากน้องไปเป็นล่ามด้วยนั่นเอง ⁠)

อย่างไรก็ดี ตั๋วคอนเสิร์ตก็ไม่ได้ถูกเลย แถมยังต้องมีค่าตั๋วเครื่องบินและค่าที่พักอีก  ผมคิดว่า ถ้าอยู่ในญี่ปุ่นต่ออีกหลายวันก็คงจะทรมานกระเป๋าสตางค์จนเกินไป  ฉะนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะไปญี่ปุ่นช่วงสุดสัปดาห์เพื่อดูคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ แล้วเดินทางกลับไทยเลย

นี่กูกำลังคิดอะไรอยู่วะเนี่ยะ!

แน่นอน นี่เป็นความคิดที่บ้าระห่ำเกินไปแล้ว มีความคิดประมาณว่า “อย่างน้อยก็อยู่เที่ยวต่อสักนิดให้คุ้มกับ overhead cost ของค่าตั๋วเครื่องบินหน่อยไหม?”  สุดท้ายแล้ว ผมก็ได้คุณ SoLaNIN แห่งเพจโสตศึกษา เป็นแรงบันดาลใจ ( ⁠และคอยเสี้ยม ⁠… คนเหี้ยอะไรแม่งเสี้ยมสัด ⁠) และเป็นบุคคลตัวอย่างที่เดินทางไปรอบโลกเพียงแค่จะไปชมคอนเสิร์ตสนองนี้ดตัวเอง


ขอข้ามช็อตมาหนึ่งเดือน ถึงตอนที่ผมกับน้องสาวได้เดินทางมาถึงโตเกียวเลยละกัน  บ่ายวันนั้น เรานั่งรถไฟไปยังสถานี Nakano ซึ่งอยู่ในระยะเดินเท้าจาก Nakano Sun Plaza ซึ่งเป็นสถานที่แสวงบุญของเราสามารถดูรูปได้ต้นบทความนี้ เมื่อเดินเท้าไปถึงสถานที่ดังกล่าว พบว่ามีคนญี่ปุ่นมารอเรียงคิวอย่างเป็นระเบียบ เดาไปงั้นแหละว่าเกือบทั้งหมดน่าจะเป็นคนญี่ปุ่น เรารีบเข้าไปต่อคิวทันทีเพราะเหลือเวลาอีกไม่มากนักก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่ม

เมื่อถึงประตูตรวจบัตร เราได้ใบปลิวมาชุดหนึ่ง ประกอบไปด้วยแบบสอบถามเกี่ยวกับคอนเสิร์ต ใบโฆษณาคอนเสิร์ตอื่น ๆ ( ⁠นักดนตรีมีแต่ลุง ๆ ป้า ๆ ทั้งนั้นเลย ⁠) และใบโฆษณากลุ่มแฟนคลับใหม่ชื่อ “FictionJunction Station”

แหม่ ⁠… ออกจากเอเจนซี่ไม่ทันไร ก็ตั้งกลุ่มแฟนคลับใหม่เสียแล้ว 5 5 5 +

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ( ⁠pun not intended ⁠) ผมแวะเข้าห้องน้ำและรีบไปหาที่นั่งในฮอลล์ในทันที  ไม่แน่ใจว่าโชคดีหรือไม่ ที่นั่งของผมและน้องสาวอยู่แถวกลาง ๆ แต่อยู่ชิดริมซ้ายสุดของฮอลล์เลย  ไม่ทันไร คอนเสิร์ตก็เริ่มด้วยเพลง ⁠…

เชี่ย เพลงอะไรวะ ไม่รู้จัก ⁠…

เออแต่เพลงก็เพราะดี เป็น Kajiura-go ด้วย Kajiura-go หมายถึงภาษาสมมติที่คุณ Yuki Kajiura ด้นสดขึ้นมาเป็นเนื้อเพลง ให้เสียงฟังสละสลวยแบบคล้าย ๆ ภาษาอิตาเลียน แต่ไม่สามารถแปลความหมายได้ หลังจากกลับจากคอนเสิร์ตก็ไปรีเสิร์ชมาว่ามันเป็น Main Theme จากหนังอนิเมชันจีนชื่อว่า L.O.R.D: Legend of Ravaging Dynasties ( ⁠มีเข้าไทยด้วย ใช้ชื่อว่า “สงคราม 7 จอมเวทย์”งื้อ อดฟังซาวน์แทร็กในโรงเลย ⁠) แต่เวอร์ชันที่ปรากฎในหนังและสื่อโฆษณานั้นเป็นภาษาจีน ไม่ใช่ภาษาแต่ง

Yuki Kajiura ปรากฏตัวนาทีที่ 2:04 ในวีดีโอ

จากนั้นเพลงถัดมาคือเพลง Lancer and Assassin จากภาพยนตร์อนิเมชัน Fate/stay night: Heaven’s Feel  ดนตรีกับเสียงร้องคอรัสก็มันดุเดือดมาก  หลังจากนั้นมาก็คือเพลง To The Beginning longing จาก Sword Art Online: Ordinal Scale

บทแทรก: พูดถึงเพลงประกอบ Sword Art Online ก็ขอบ่นอะไรสักนิดหน่อยเถอะ

เอาล่ะ กลับมาที่คอนเสิร์ตกันต่อ  หลังจากจบสามเพลงแรกไป ก็เป็นช่วง MC แรกของคอนเสิร์ต ผมจำอะไรไม่ค่อยได้มาก นอกเหนือจากว่า Yuki Kajiura เป็นคนที่พูด ๆ บ่น ๆ เยอะมากจนน่าตกใจ ( ⁠แต่ผมฟังออกแค่ 20% ⁠)

เรื่องเดียวที่จำได้แม่นเลยคือ Yuki Kajiura บอกว่ายังคงแต่งเพลงให้กับ Sword Art Online ภาคใหม่ ( ⁠ซึ่งแน่นอนว่าเป็นภาค Alicization ⁠)  ประโยคที่จำได้แม่นคือเค้าบ่นว่า “ยังจะมี [ ⁠ภาค ⁠] ต่ออีกหรือ?”「まだきたのか?」 ด้วยน้ำเสียงกวน ๆ คนทั้งฮอลล์ที่หัวเราะลั่นเลย

เข้าสู่เพลงที่สี่ชองคอนเสิร์ต เพลง shadows and fog จาก Princess Principal ให้ความรู้สึกทั้งนิ่งสงบและดีดดิ้งเป็นบางจังหวะมาก ๆ คือทั้งมันมาก ( ⁠ ลองฟังเวอร์ชันนี้ดู ⁠)

ถัดมาคือเพลง fiction จากอัลบั้มโซโล่ของ Yuki Kajiura เอง  เพลงนี้ Joelle ที่เป็น vocalist คนใหม่ของ FictionJunction ร้องได้ดีมาก ภาษาอังกฤษคือชัดถ้อยชัดคำดี รู้สึกได้ถึงดนตรีที่สาดเข้าปะทะตัวได้อิ่มเอมมาก อาาาาห์

เพลงถัดเพลง forest จากเรื่อง El Cazador de la Bruja มีความสดใส upbeat ขึ้นมาหน่อยนึง แต่เพลง forest แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเพลงเมื่อสักครู่  แล้วก็ตามด้วยเพลง key of the twilight จากอัลบัมในตำนานอย่าง .hack//SIGN ถ้าพูดถึงตัวอนิเมะเองเรื่อง .hack//SIGN เนื้อเรื่องก็คล้ายกับ Sword Art Online เขียนออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่เนื้อเรื่องสนุกว่า 100 เท่า ORIGINAL SOUND & SONG TRACK 1 ที่เรียกได้ว่าทุกเพลงสามารถพาผู้ฟังไปยังโลกใบใหม่ได้จริง ๆ

และแล้วก็มาถึงเพลง everytime you kissed me จากเรื่อง Pandora Hearts  ในใจคือกรี๊ดมากเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงนี้ในคอนเสิร์ต ภาพของออซกับอสิซนี่ลอยมาเลย  และทิ้งท้ายช่วงที่สองนี้ก่อนเข้าพักเบรก MC ก็คือเพลง lotus ที่ออกจะเย็น ๆ สบาย ๆ เสียหน่อย

ช่วง MC#2 พูดว่าอะไรวะ จำไม่ได้ งั้นไปเพลงต่อไปเลยดีกว่า  ⁠…  สองเพลงถัดมาคือเพลงจากอนิเมะ battle royale เรื่อง Mai-Hime ได้แก่เพลง Himeboshi + Mezame  มีความผสมผสานระหว่างความมันและความหลอนไปด้วยกัน

ตามมาด้วย She Has to Overcome Her Fear น่าจะเป็นหนึ่งในเพลงฉากต่อสู้ที่ดีสุดของ Sword Art Online แล้วล่ะ  REMI ร้องเพลงนี้ออกมาอย่างกับเปิดแผ่นเลยทีเดียว

จากนั้นก็ถึง MC#3 อย่างรวดเร็ว เป็นการแนะนำตัวเหล่า vocalist ทั้งหมดของคอนเสิร์ต และ Yuki Kajiura ก็มีคำถามให้แต่ละคนตอบ ( ⁠ซึ่งจำไม่ได้จริง ๆ ว่าถามว่าอะไร และแต่ละคนตอบว่าอย่างไรบ้าง ⁠)

ถัดมา เพลงที่ 13 คือเพลง Rainbow ~Main Theme~ จากอัลบัมรวมซาวน์แทร็ก The Works of Soundtrack ของทั่น Yuki Kajiura  ซึ่งได้ความรู้สึกสดใหม่มาก เพราะไม่ค่อยได้ฟังจากแผ่นเท่าไหร่  และแล้ว เพลงถัดมาก็คือเพลง moon and shadow  ซึ่งขอสารภาพว่าไม่เคยฟังมาก่อนเลย แต่พอฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเราพลาดเพลงนี้ไปได้อย่างไร มันดีเหลือเกิน

เพลงถัดมา Hanamori no Oka ที่ขับร้องโดย KAORI อันนี้คือหลงใหลในเสียงพี่แกมาก ในที่สุดก็ได้ฟังเสียงพี่แกร้องเพลงนี้สด ๆ เสียที  ( ⁠ป.ล. ตอนที่กำลังเขียนบล็อกอยู่นี้ก็เพิ่งมาเปิดดู wikipedia พบว่าเป็นเพลงจากภาพยนตร์อนิเมชันในซีรี่ส์ “ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ”เรื่องที่มีตัวละครชื่อเค็นชิโร่นั่นแหละ ก็แอบแปลกใจหน่อย ๆ ⁠)

เมื่อฟังเสียง KAORI ไปแล้วก็ถึงตาของ ASUKA บ้าง ซึ่งก็จำได้ว่าพี่แกร้องเพลงให้ Yuki Kajiura อยู่เพลงเดียวน้า ก็คือเพลง everlasting song จากเรื่อง Erementar Gerad  นี่ก็เป็นหนึ่งในเพลงหมวดโลกสดใสอบอุ่นเพลงหนึ่งของ Yuki Kajiura และมีความพิเศษคือมี harmonica ด้วย จำได้เลยว่าฟังเพลงนี้ตั้งแต่สมัย ม.ต้น พอได้มาฟังสดก็อิ่มเอมกันไป

เข้าสู่ช่วง MC#4 ก็มีการแนะนำ front band members กันตามระเบียบ กับชุดคำถามเดียวกันที่ถาม vocalist ไปก่อนหน้านั้น ( ⁠เออ ที่จำไม่ได้นั่นแหละ ⁠)  แต่ก่อนที่จะเริ่มเพลงถัดไป Yuki Kajiura ก็บอกว่ามีอีกเพลงที่ ASUKA เคยร้องให้มาก่อน ( ⁠เชี่ย เพลงอะไรวะ ทำไมเราไม่รู้จัก ⁠) พอเฉลยออกมา ก็คือเพลง Mada Dame yo ( ⁠จากภาพยนต์อนิเมชันของเรื่อง Puella Magi Madoka Magica ⁠) ซึ่งผสมมากับทำนองของเพลงเต้นรำ nightmare ballet อย่างแนบเนียน

ไหน ๆ ก็มาโดกะแล้ว เพลงถัดมาก็คือเพลง Credens Justitiam ที่เปิดเลี้ยงส่งมามิโดยเฉพาะเลย  ถึงแม้เพลงนี้จะดี แต่จริง ๆ อยากฟังอะไรหลอน ๆ อย่าง “Sis puella magica!” มากกว่า  เสียดายนิดนึง

แต่ไม่เป็นไร เพลงถัดมานี่คือสามารถกู้สถานการณ์ได้ทันควัน นั่นคือเพลง a song of storm and fire จากเรื่อง Tsubasa Chronicle ที่ร้องโดย Eri Itou และมีคนอื่น ๆ ช่วยประสาน  อันนี้ก็เป็นอีกเพลงที่เคยเปิด on repeat สมัยมัธยม เป็นเพลงฉากต่อสู่ที่อลังการงานสร้าง แม้จะไม่เคยดูตัวอนิเมะเอง แต่เพลงประกอบที่มันเร้าใจจนต้องโยกหัวตามมาก ๆ และยังคงต่อเนื่องจากอนิเมะเรื่องเดิมก็คือเพลง ring your song ที่เป็นเพลงฟังสบาย ๆ เรื่อย ๆ ฟิน ๆ

จากนั้นก็เป็นเพลงซาวน์แทร็กจากเรื่อง Fate/Zero ต่อเนื่องกันสองเพลง  เพลงแรกก็คือเพลง Point zero อยากให้สังเกตว่า intro ของเพลงนี้กับเพลงแรกสุดคล้ายกันมาก 5 5 5 + ที่เป็นเพลงแต่งออกมาแบบ picture-matching ทำให้ภาพและเสียงผสานกันด้วยจังหวะที่พอดิบพอดี ทำให้ฉาก summon ใน episode 1 นั้นอลังการงานสร้างมาก  และเพลงที่สอง The Battle Is To The Strong ( ⁠ชื่อมันแปลว่าอะไรวะ บอกที ⁠) ก็เป็นเพลงฉากต่อสู้ที่ต่อเนื่องจากเพลงแรกได้ดี

เพลงก่อนเพลงสุดท้าย ( ⁠ไม่นับช่วง encore ⁠) คือเพลง salva nos จากอนิเมะเรื่อง noir ตระกูล girls with guns ของค่าย Bee Train เพลงนี้ขับร้องโดย Yuri Kasaharaคนเดียวกับคนร้องเสียงโอเปร่าในเพลง Libera me from hell จากเรื่อง Gurren Lagann แบบโอเปร่า อาาาาาาาห์ ( ⁠นี่ถ้าได้เพลง Liminality อีกเพลงจะดีมากเลย ⁠)

และท้ายสุด ก็คือเพลง maybe tomorrow  ที่ช่างเหมาะกับเป็นเพลงปิดท้ายคอนเสิร์ตเหลือเกิน ( ⁠แน่นอนว่าไม่ใช่ เพราะยังไงก็ต้องมี encore ชัวร์ป๊าบ ⁠) เพลงประกอบ Xenosaga III เพลงนี้ฟังแล้วให้ความรู้สึกคิดถึง นี่ก็บิ๊วเหลือเกิน  และเมื่อหลังจบเพลงนี้ นักดนตรีทุกคนก็ลงจากเวทีตามระเบียบ ปล่อยให้คนเข้าชมคอนเสิร์ตค่อยปรบมือเป็นจังหวะรอ encore ให้ทุกคนกลับขึ้นเวทีอีกครั้ง


แต่แล้ว ก็มีอะไรไม่คาดคิดเกินขึ้น ⁠… Revo นายคนนี้ก็คือคนแต่งเพลงประจำวงแฟนตาซีอย่าง Sound Horizon และรวมถึงวง Linked Horizon ที่ร้องเพลง Opening Theme ปลุกใจของ Attack on Titan อยู่ถึงหลายซีซันด้วยกัน ปรากฏตัวอย่าง งง ๆ  และเนื้อเพลงที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินสด ๆ ในชีวิตนี้อีกแล้ว ก็บรรเลงขึ้นมา

Dream Port

มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นในหมู่คนดูคอนเสิร์ตด้วยกัน  ในใจผมเองก็ “อีเหี้ย มึงไม่ได้หลอกกูใช่ไหม”  มันคือเพลง Sajin no Kanata e ⁠… ซึ่งร้องครั้งล่าสุดเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้นพอดี  สาเหตุที่เพลงนี้ไม่มีโอกาสได้ร้องอีกเลย เพราะทั้ง Yuki Kajiura และ Revo ไม่เคยได้ร่วมงานกันเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

แต่เมื่อมาสังเกตดี ๆ ก็พบว่า vocalist ในคอนเสิร์ตนี้หลายคน ( ⁠ได้แก่ REMI, Joelle, KAORI, Yuri Kasahara ⁠) ต่างก็เป็น vocalist ของวง Sound Horizon ด้วยนี่หว่า ⁠…  เออ แม่งเมคเซนส์มาก เพราะนี่ก็เกือบจะเป็นการรวมญาติอยู่แล้ว

ตอนนี้น้ำตาผลเริ่มไหลหนักมาก โอยตื้นตันสุด ๆ จนเก็บอาการไม่อยู่  น้องสาวหันมามองผมด้วยสีหน้าที่เขียนว่า “อีหยังวะ” อย่างชัดเจน  ( ⁠แต่ไม่เป็นไร ได้ข่าวว่าคนในฮอลล์นี่น้ำตาซึมกันหมด ไม่อายละโว้ย ⁠)

เมื่อผ่านท่อนที่ vocalist แต่ละคนต้องร้องแล้ว ก็ถึงท่อนที่ Revo และ Yuki Kajiura ช่วยกันร้องอยู่สองคน  อาาาาาาหฺ์ ตอนนั้นสมองคืออยู่ในโหมดฝันเรียบร้อยแล้ว  นี่เกินกว่าจะเป็นความจริงได้

เมื่อทุกคน ทั้งบนเวที ทั้งผู้ชมในฮอลล์ ช่วยกันร้องท่อน “หล่า ลา ล้า หล่า ล้า ล้า  ⁠…” จบปุ๊บ  ก็มีการพูดคุย MC#5 กันอีกรอบหนึ่ง คราวนี้ก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเพลงนี้ และ collaboration ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว  และมีการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของ Revo ที่ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวบ่อย ๆ 

มีช่วงหนึ่ง Revo กล่าวอย่างเศร้า ๆ เกี่ยวกับอนิเมะเรื่อง Attack on Titan ภาคสามที่กำลังจะออกฉายว่า “เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ร้อง Opening Theme” แล้ว  ตอนแรกได้ยิน คนในฮอลล์ก็ใจหาย ⁠… ที่ไหนได้ดีออก จริง ๆ แล้วแม่งไปร้อง Ending Theme แทนนั่นแหละ  เอากูซะใจหายเลย

และสุดท้าย ก็ปิดท้ายคอนเสิร์ตด้วยเพลง Open Your Heart จาก .hack//SIGN ซึ่งเป็นเพลงให้ความรู้สึกถึง resolution ได้สูงสุด เหมือนมีคนเปิดก๊อกน้ำอุ่นสาดคนทั้งฮอลล์ ชำระล้างความขมและขุ่นมัวทั้งหมดออกไป

และแล้วคอนเสิร์ตก็จบลง กลายเป็นคอนเสิร์ตที่ประทับใจที่สุดไปเลย เพราะไม่ได้เตรียมใจเลยว่าจะได้อะไรจากคอนเสิร์ตมากมายขนาดนี้  เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ขนาดว่าถ้ากลับมาคอนเสิร์ต Yuki Kajiura ซ้ำก็คงไม่มีทางรู้สึกได้ถึงขนาดนี้ได้อีก  จากนั้นเราเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ตื่นจากความฝันที่ไม่อยากให้มีวันจบ ออกไปทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น